นาค
แม่แบบ:Infobox mythical creature ตามคติศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ และศาสนาเชน นาค (แม่แบบ:Lang-sa Nāga) คืองูใหญ่มีหงอน[1] อาศัยในเมืองบาดาล แปลงกายเป็นมนุษย์ได้ ในทางประติมานวิทยามักแสดงในสามรูปแบบคือ มนุษย์มีงูที่ศีรษะ งู หรือครึ่งงูครึ่งมนุษย์[2] นาคเพศหญิงเรียกว่านาคี[3] นาคผู้เป็นหัวหน้าเรียกว่าพญานาค[4][5] ถือเป็นสัตว์ในนิยายที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องปรัมปราในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ศัพทมูล
แม่แบบ:Wikispecies ในภาษาสันสกฤต คำว่า "นาค" (แม่แบบ:IAST; แม่แบบ:Lang) หมายถึงงูเห่าสายพันธุ์งูเห่าอินเดีย (Naja naja) คำเหมือนกันกับนาค คือ แม่แบบ:IAST (แม่แบบ:Lang) โดยทั่วไปแล้วมีคำที่หวามหมายเหมือน "งู" อยู่หลายคำ หนึ่งในคำที่ใช้มากคือคำว่า แม่แบบ:IAST (แม่แบบ:Lang) ในบางครั้งคำว่านาคเองก็ถูกใช้ในความหายทั่วไปว่าหมายถึง "งู"[6]
ศาสนาฮินดู
ในความเชื่อของฮินดู นาคเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งเทวะ (semidivine) ที่มีพลังอำนาจ วิเศษ ภูมิใจ และมหัศจรรย์ ด้วยสถานะความเป็นกึ่งเทวะจึงอาจอนุมานรูปลักษณะทางกายภาพของนาคว่าเป็นมนุษย์, กึ่งมนุษย์กึ่งนาค หรือเป็นลักษณะนาคทั้งหมด นาคอาศัยอยู่ในโลกบาดาลที่เรียกว่า "บาดาล" ซึ่งเต็มไปด้วยอัญมณี ทองคำ และสมบัติทางโลกอื่น ๆ นอกจากนี้นาคยังมีความเกี่ยวพันกับพื้นน้ำ เช่น แม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเล หรือแม้แต่บ่อน้ำ และถือว่าเป็นผู้พิทักษ์สมบัติ[7] พลังอำนาจและพิษของนาคทำให้นาคเป็นไปได้ว่าจะเป็นอัตรายต่อมนุษย์ อย่างไรก็ตามนาคมักปรากฏอยู่ในฐานะตัวเองที่เป็นประโยชน์ในตำนานฮินดู เช่นในสมุทรมณฑล ซึ่งพญาวาสุกีซึ่งประทับรอบพระศอของพระศิวะได้มาเป็นเชือกสำหรับการกวนน้ำในเกษียรสมุทร[8] Their eternal mortal enemies are the Garudas, the legendary semidivine birdlike-deities.[9]
พระวิษณุนั้นดั้งเดิมแล้วมีการสร้างรูปเคารพในรูปลักษณะที่ทรงมีนาคเศษะประทับปกคลุม หรือประทับนอนบนนาคเศษะ อย่างไรก็ตามประติมานวิทยานี้ได้ขยายออกไปตามเทพองค์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับในพระคเณศซึ่งปรากฏนาคในหลายลักษณะ ทั้งประทับคล้องพระศอของพระคเณศ[10] ใช้เป็นด้ายศักดิ์สิทธิ์ (สันสกฤต: ยัชโญปวีตะ; แม่แบบ:IAST),[11] ประทับคล้องพระวรกายของพระคเณศ หรือแแต่ในลักษณะเป็นบัลลังก์ให้พระคเณศประทับ[12] พระศิวะมักปรากฏในรูปเคารพพร้อมนาคในลักษณะคล้ายมาลัยเช่นกัน[13] Maehle (2006: p. 297) ระบุว่า "ปตัญชลีนั้นเชื่อกันว่าเป็นการประจักษ์ของความเป็นนิรันดร์"
ศาสนาพุทธ
นาคในศาสนาพุทธมักแสดงในรูปของงูเห่าขนาดใหญ่ บางตนมีพลังวิเศษแปลงกายเป็นรูปมนุษย์ได้ บางครั้งมีการสร้างรูปของนาคในลักษณะของมนุษย์ซึ่งมีงูหรือมังกรปรกอยู่เหนือศีรษะ[14] ในพุทธประวัติระบุว่าเคยมีนาคตนหนึ่งซึ่งแปลงกายอยู่ในรูปมนุษย์ได้มีความพยายามที่จะออกบวช แต่พระโคตมพุทธเจ้าตรัสว่าไม่สามารถให้นาคบวชได้ หากนาคต้องการบวชจักต้องเกิดใหม่ในชาติที่เป็นมนุษย์จึงจะบวชได้[15] ในศาสนาพุทธเชื่อว่านาคอาศัยในบาดาล เช่นเดียวกันกับเทวดาบางส่วน และอาศัยในส่วนต่าง ๆ ของโลกมนุษย์ บางส่วนอาศัยในน้ำ เช่นลำธาร แม่น้ำ ทะเล มหาสมุทร และบางส่วนอาศัยบนบกเช่นในถ้ำ
นาคเป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ หนึ่งในโลกบาลผู้พิทักษ์ทิศตะวันตก นาคต่าง ๆ ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์บนเขาพระสุเมรุ เพื่อปกป้องชั้นดาวดึงส์จากอสูร
หนึ่งในนาคที่เป็นที่รู้จักดีในศาสนาพุทธคือมุจลินท์ ซึ่งปรากฏในมุจจลินทสูตรว่า ระหว่างที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุข เกิดฝนฟ้าคะนองรุนแรง พญามุจลินท์จึงได้ขดรอบพระพุทธองค์แล้วแผ่พังพานปกพระเศียรของพระพุทธเจ้าเพื่อมิให้ทรงต้องฝน[16] หลังจากฝนหยุด พญามุจลินท์ได้คลายขดออกและแปลงกายเป็นชายหนุ่มยืนพนมมือถวายความเคารพอยู่เฉพาะพระพักตร์[17] ตำนานในส่วนนี้มีความแตกต่างกันในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปตามความเชื่อในแต่ละภูมิภาค
ความเชื่อท้องถิ่น
ประเทศศรีลังกา
ชาวนาค (Naga people) มีความเชื่อกันว่าเป็นชนเผ่าโบราณที่ครั้งหนึ่งเคยอาศัยอยู่ในประเทศศรีลังกา มีการอ้างถึงในคัมภีร์โบราณ เช่น มหาวงศ์, มณิเมกไล
ประเทศไทย
แม่แบบ:Main ในความเชื่อของวัฒนธรรมร่วมไทย-ลาว มีการนับถือนาคในลักษณะเป็นเทพแห่งน้ำ และมีความเชื่อว่าในแม่น้ำโขงนั้นมีนาคอาศัยอยู่ แม่แบบ:Cn-span นอกจากนี้ในความเชื่อของไทยได้แบ่งนาคออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ แม่แบบ:Cn-span ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่า แม่น้ำโขงเกิดจากการแถตัวของพญานาค 2 ตน จึงเกิดเป็นแม่น้ำโขงและแม่น้ำน่าน นอกจากนี้ยังรวมถึงบั้งไฟพญานาค โดยมีตำนานว่าในวันออกพรรษาหรือเป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พญานาคแม่น้ำโขงต่างชื่นชมยินดี จึงทำบั้งไฟถวายการเสด็จกลับของพระพุทธเจ้าจนกลายเป็นประเพณีทุกปี[18]
ในฐานะเทพแห่งน้ำ
นาคเป็นสัญลักษณ์ของน้ำ จึงปรากฏความเชื่อเรื่องนาคที่เกี่ยวกับน้ำไว้ในด้านต่าง ๆ ดังเช่น ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช[19] นอกจากนี้ยังปรากฏความเชื่อเรื่องนาคในคำเสี่ยงทายปริมาณของน้ำและฝนที่จะตกในแต่ละปี เรียกว่า "นาคให้น้ำ" จำนวนนาคให้น้ำมีตั้งแต่ 1 ถึง 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" ด้วยความเชื่อว่าพญานาคเกี่ยงกันให้น้ำ แต่ละตัวจึงกลืนน้ำไว้ในท้องไม่ยอมพ่นน้ำลงมา ซึ่งคำทำนายเรื่องนาคให้น้ำนี้ จะปรากฏเห็นได้ชัดที่สุดในพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ในวันพืชมงคลของแต่ละปี[20]
ในงานศิลปะ
ในประติมากรรมไทยและลาว มักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรมของวัดและวัง ตามคตินิยมที่ว่า "นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง" เช่นที่พบในการสร้าง นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได, นาคลำยอง ซึ่งเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง, นาคเบือน, นาคจำลอง และนาคทันต์ หรือคันทวยรูปพญานาค และแม้แต่ในโขนเรือ (หัวเรือ) ของเรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ ในขบวนเรือกระบวนพยุหยาตราชลมารค นอกจากนี้ในประเทศไทยมีการนำความเชื่อเรื่องการเกิดพระธันวันตริ เทพเจ้าแห่งการแพทย์ในคติฮินดู และน้ำอมฤต จากการกวนเกษียรสมุทร มาเกี่ยวพันกับสัญลักษณ์ของการแพทย์ในประเทศไทย โดยได้นำลักษณะของพญานาคมาประกอบโดยเชื่อมโยงกับตำนานดังกล่าวมาประยุกต์ใช้แทนงูในสัญลักษณ์การแพทย์สากลคทาแอสคลีเพียส และคทางูไขว้ที่มักถูกใช้สลับกัน ดังที่พบในตราประจำสภาการแพทย์แผนไทย[21], สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย และในตราเดิมของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ[22] เป็นต้น
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
- แม่แบบ:Citation
- แม่แบบ:Citation
- แม่แบบ:Citation
- แม่แบบ:Citation
- แม่แบบ:Citation
- แม่แบบ:Citation
- แม่แบบ:Citation
- ↑ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, หน้า 617
- ↑ แม่แบบ:Cite book
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite book
- ↑ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, หน้า 801
- ↑ แม่แบบ:Cite book, p. 423. The first definition of nāgaḥ given reads "A snake in general, particularly the cobra." p.539
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ For the story of wrapping แม่แบบ:IAST around the neck and แม่แบบ:IAST around the belly and for the name in his sahasranama as แม่แบบ:IAST ("Who has a serpent around his neck"), which refers to this standard iconographic element, see: Krishan, Yuvraj (1999), Gaņeśa: Unravelling An Enigma, Delhi: Motilal Banarsidass Publishers, แม่แบบ:ISBN, pp=51-52.
- ↑ For text of a stone inscription dated 1470 identifying Ganesha's sacred thread as the serpent แม่แบบ:IAST, see: Martin-Dubost, p. 202.
- ↑ For an overview of snake images in Ganesha iconography, see: Martin-Dubost, Paul (1997). Gaņeśa: The Enchanter of the Three Worlds. Mumbai: Project for Indian Cultural Studies. แม่แบบ:ISBN, p. 202.
- ↑ แม่แบบ:Cite book; p. 151
- ↑ "Indian Nagas and Draconic Prototypes" in: Ingersoll, Ernest, et al., (2013). The Illustrated Book of Dragons and Dragon Lore. Chiang Mai: Cognoscenti Books. ASIN B00D959PJ0
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ P. 72 How Buddhism Began: The Conditioned Genesis of the Early Teachings By Richard Francis Gombrich
- ↑ มุจจลินทสูตร, พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย อุทาน
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ เอกสารประชาสัมพันธ์คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (2561)
Enable comment auto-refresher