พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20
แม่แบบ:กล่องข้อมูล ฤดูกาลลีกฟุตบอล พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20 (แม่แบบ:Lang-en) เป็นการแข่งขันพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลที่ 28 นับแต่เริ่มจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1992 โดยแมนเชสเตอร์ซิตี คือทีมที่ป้องกันแชมป์ในฤดูกาลนี้ หลังชนะเลิศสองสมัยติดต่อกันและชนะเลิศสามรายการเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล เป็นทีมชนะเลิศ โดยเป็นการชนะเลิศลีกสูงสุดสมัยที่ 19 หลังพวกเขาชนะเลิศลีกสูงสุดครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ. 1990 และยังเป็นการชนะเลิศครั้งแรกในยุคพรีเมียร์ลีก
ฤดูกาลมีการหยุดการแข่งขันชั่วคราวเป็นเวลามากกว่าสามเดือน หลังมีการตัดสินจากพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ. 2020 หลังพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาในผู้เล่นและทีมงานเนื่องจากเกิดการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา ในตอนแรกนั้นจะกลับมาแข่งขันในวันที่ 4 เมษายน แต่ก็ได้ขยายไปช่วงกลางมิถุนายน[1] การแข่งขันกลับมาในวันที่ 17 มิถุนายน และเริ่มการแข่งขันเต็มรูปแบบในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 19–21 มิถุนายน[2]
ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกที่ใช้ระบบวีเออาร์[3] มีการเปลี่ยนกฏกติกาใหม่สำหรับการส่งบอลย้อนหลัง, จุดโทษ, แฮนด์บอลและการเปลี่ยนตัว[4]
สรุป
พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นการเริ่มต้นสัญญาฉบับใหม่ของการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ระยะเวลาสามปี โดยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญก็คือ การแข่งขันจำนวนแปดนัดจะถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เวลา 19:45 น. (เวลาท้องถิ่น) วันเสาร์ตลอดฤดูกาลโดย สกายสปอร์ตส[5] นอกจากนี้ แอมะซอน ยังได้ถ่ายทอดสดจำนวนสองนัดในเดือนธันวาคม รวมถึง เมอร์ซีย์ไซด์ดาร์บี ซึ่งครั้งแรกที่นัดดังกล่าวได้ถ่ายทอดสดทั่วประเทศ[6] ส่วนประเทศไทยนั้น ทรูวิชั่นส์ กลับมาเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง โดยเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี[7]
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2019 เลสเตอร์ซิตี ทำลายสถิติของพรีเมียร์ลีกและลีกสูงสุดของอังกฤษ โดยทำสถิติเป็นทีมเยือนที่ชนะในลีกด้วยจำนวนประตูเยอะที่สุดและเทียบเท่าสถิติชนะในพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวนประตูเยอะที่สุด เมื่อพวกเขาเอาชนะ เซาแทมป์ตัน 9–0 ที่ เซนต์แมรีส์สเตเดียม[8]
เมื่อวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2020 ในนัดการแข่งขันที่ แมนเชสเตอร์ซิตี ชนะ แอสตันวิลลา ด้วยผลประตูรวม 6–1 เซร์ฆิโอ อาเกวโร ได้ทำลายสถิติของ ตีแยรี อ็องรี เป็นผู้เล่นต่างประเทศที่ทำประตูสูงสุด[9] และเขายังได้ทำลายสถิติเป็นผู้เล่นที่ทำแฮต-ทริกส์มากที่สุด (12) แทนที่ของ แอลัน เชียเรอร์[10]
พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรกที่มีการพักช่วงกลางฤดูกาลในเดือนกุมภาพันธ์ มีสามนัดจากสิบนัดแข่งขันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 8–9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 อีกหกนัดแข่งขันในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 14–17 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 และนัดที่สิบ นัดที่แมนเชสเตอร์ซิตีพบกับ เวสต์แฮมยูไนเต็ด มีการเลื่อนการแข่งขันจากวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ไปวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 เนื่องจากพายุคีรา นัดการแข่งขันในวันเดียวกันนั้นแข่งในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เพื่อไม่ให้การถ่ายทอดสดทับซ้อนกัน[11]
ในระหว่างฤดูกาล ลิเวอร์พูล ทำสถิติเป็นทีมที่ชนะติดต่อกันมากที่สุด 18 นัด[12] ก่อนจะแพ้ให้กับ วอตฟอร์ด เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ปัจจุบัน ลิเวอร์พูลกำลังทำสถิติชนะในบ้านติดต่อกัน 23 นัด[13] และทำสถิตินำห่าง 23 คะแนนในตารางเมื่อทุกทีมแข่งเท่ากัน (สถิติ ณ วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 2020)[14][15]
เพื่อการแสดงออกความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหลัง การเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชื่อของผู้เล่นบนหลังเสื้อของพวกเขานั้นแทนที่ด้วย 'แบล็กไลฟส์แมตเทอร์' ใน 12 นัดแรกของการเริ่มต้นฤดูกาลอีกครั้ง พรีเมียร์ลีกยังให้การสนับสนุนสำหรับผู้เล่นคนใดที่ 'คุกเข่า' ก่อนหรือระหว่างการแข่งขัน[16]
เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2020 แมนเชสเตอร์ซิตี แพ้ต่อ เชลซี ด้วยผลประตูรวม 2–1 ที่สนามกีฬาสแตมฟอร์ดบริดจ์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ชนะเลิศลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี และชนะเลิศพรีเมียร์ลีกครั้งแรก[17] ลิเวอร์พูลยังสร้างสถิติเป็นทีมที่ชนะเลิศลีกสูงสุดโดยที่ยังเหลือเกมการแข่งขันมากที่สุด (เหลือเจ็ดเกมก่อนจบฤดูกาล) และ เป็นทีมที่ชนะเลิศลีกสูงสุดช้าที่สุด (เป็นทีมเดียวที่ชนะเลิศลีกสูงสุดในเดือนมิถุนายน)[18] ในเกมการแข่งขันถัดมา แมนเชสเตอร์ซิตีและแอสตันวิลลา ได้ตั้งแถวเกียรติยศปรบมือให้แก่ลิเวอร์พูลที่ สนามกีฬาอัลติฮัดและแอนฟีลด์[19]
เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 นอริชซิตีเป็นทีมแรกที่ตกชั้นไป แชมเปียนชิป หลังแพ้เวสต์แฮมยูไนเต็ดที่สนามแคร์โรว์โรดด้วยผลประตูรวม 0–4 ขณะที่ยังเหลือเกมการแข่งขันอีกสามนัด[20]
ผลกระทบจากการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา
ตั้งแต่เดือนมีนาคม พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ได้รับผลกกระทบจากการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา[21] โดยเมื่อวันที่ 10 มีนาคม นัดการแข่งขันระหว่าง แมนเชสเตอร์ซิตี พบกับ อาร์เซนอล ได้ถูกเลื่อนออกไปก่อน ซึ่งแต่เดิมนั้นมีกำหนดแข่งในวันถัดไป หลังจากมีการเลื่อนมาก่อนหน้านี้เนื่องจาก แมนเชสเตอร์ซิตี ต้องลงแข่งในรายการ อีเอฟแอลคัพ 2020 นัดชิงชนะเลิศ สาเหตุมาจากผู้เล่นจำนวนหนึ่งของอาร์เซนอลได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดกับ เอวานเกโลส มารินาคิส เจ้าของ โอลิมเบียโกส ซึ่งเขาติดเชื้อไวรัสโคโรนา หลังทดสอบการตรวจเลือดแล้วมีผลเป็นบวก โดยทั้งสองทีมได้พบกันในรายการยูโรปาลีกเมื่อ 13 วันก่อน[22] นี่เป็นฤดูกาลแรกของแข่งขันฟุตบอลอังกฤษ ที่มีการหยุดการแข่งขัน ตั้งแต่ ฤดูกาล 1939–40 ซึ่งในฤดูกาลดังกล่าวถูกยกเลิกหลังแข่งขันไปแค่สามนัด เนื่องจากเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง[23]
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม มีการเปิดเผยว่าผู้เล่นของเลสเตอร์ซิตีสามคนนั้นถูกกักตัว[24] แมนเชสเตอร์ซิตีประกาศว่า แบ็งฌาแม็ง แมนดี กองหลังของทีมถูกกักตัวหลังสมาชิกในครอบครัวแสดงอาการป่วยจากไวรัส[25] ต่อมาในตอนเย็น มีการยืนยันว่า มิเกล อาร์เตตา ผู้จัดการทีมของอาร์เซนอล ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหลังตรวจเลือดแล้วมีผลเป็นบวก[26] ทำให้การแข่งขันระหว่าง ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน กับ อาร์เซนอล ในวันที่ 14 มีนาคม ที่อาแม็กซ์สเตเดียม ถูกเลื่อนออกไปก่อน[27] เมื่อวันที่ 13 มีนาคม เชลซี ประกาศว่า แคลลัม ฮัดสัน-โอดอย ปีกของทีม ติดเชื้อไวรัสโคโรนาหลังตรวจเลือดแล้วมีผลเป็นบวก[28]
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม การประชุมฉุกเฉินระหว่าง พรีเมียร์ลีก, สมาคมฟุตบอล (หรือ เอฟเอ), อิงกลิชฟุตบอลลีกและเอฟเอวีเมนส์ซูเปอร์ลีก หลังการประชุม มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ระงับการแข่งขันฟุตบอลอาชีพในอังกฤษ อย่างน้อยจนถึงวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 2020[29] เมื่อวันที่ 19 มีนาคม การระงับได้ถูกขยายออกไปอย่างน้อยจนถึงวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 2020[30] ในเวลาเดียวกัน สมาคมฟุตบอล ตกลงขยายการแข่งขันในฤดูกาลนี้ออกไปอย่างไม่มีกำหนด เลยกำหนดเดิมคือวันที่ 1 มิถุนายน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2020 แมตต์ แฮนคอก เลขาธิการแห่งรัฐเพื่อการดูแลสุขภาพและสังคม เรียกร้องให้ผู้เล่นในพรีเมียร์ลีกลดค่าจ้างของตัวเองระหว่างการระบาดทั่ว[31] สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ ปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว เพราะพวกเขารู้สึกว่าจะทำให้มีผลกระทบต่อ กระทรวงการคลัง ด้วยการสูญเสียรายได้จากภาษีเงินได้[32] หลายสโมสร รวมไปถึง วอตฟอร์ด, เซาแทมป์ตันและเวสต์แฮมยูไนเต็ด ตกลงที่ชะลอการจ่ายค่าจ้างให้กับผู้เล่น[33] ต่อมาในเดือนเมษายน พรีเมียร์ลีกได้ทำแผน เรียกว่า โปรเจก รีสตาร์ต เป้าหมายคือแข่งขันนัดที่เหลือจำนวน 92 นัดในช่วงระยะเวลาหกสัปดาห์ ณ สนามกลางที่ได้รับการอนุมัติ[34] วอตฟอร์ด, แอสตันวิลลาและไบรตัน เป็นทีมที่อยู่ใกล้ท้ายตาราง ให้ความคิดเห็นว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะให้แข่งขันในสนามกลาง ในขณะที่มีสถานะที่เสี่ยงจะตกชั้น แต่จะได้เปรียบถ้าไม่มีการตกชั้น[35][36] ตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม ค.ศ. 2020 ผู้เล่นอนุญาตให้ฝึกซ้อมเป็นกลุ่ม เพื่อเตรียมตัวการกลับมาแข่งขันอีกครั้งของลีก พวกเขาได้รับอนุญาตให้อยู่ในกลุ่มได้ไม่เกินห้าคน พร้อมกับให้ช่วงเวลาในการฝึกซ้อมของแต่ละผู้เล่นไม่เกิน 75 นาที และต้องปฏิบัติตามกฏการเว้นระยะห่างทางสังคมในช่วงเวลาการฝึกซ้อม[37] เมื่อวันที่ 17 และ 18 พฤษภาคม ผู้เล่นและทีมงานทั้งหมดถูกตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 มีหกคนมีผลตรวจเลือดเป็นบวก รวมไปถึง เอเดรียน มาริอัปปา ผู้เล่นของวอตฟอร์ดและ เอียน โวน ผู้ช่วยผู้จัดการทีมเบิร์นลีย์[38][39][40] ต่อมาในเดือนพฤษภาคม แอรอน แรมสเดล ผู้เล่นของบอร์นมัท มีผลตรวจเลือดเป็นบวก[41]
ผู้เล่นจำนวนหนึ่ง รวมไปถึง ราฮีม สเตอร์ลิงกับเซร์ฆิโอ อาเกวโรของแมนเชสเตอร์ซิตี และแอรอน เครสเวลล์ของเวสต์แฮมยูไนเต็ด แสดงความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในแคมเปญการเริ่มการแข่งขันใหม่อีกครั้ง แดนนี โรสของนิวคาสเซิลยูไนเต็ดเรียกการตัดสินใจที่จะเริ่มใหม่ว่าเป็น "เรื่องตลก"[42][43] ทรอย ดีนีย์ของวอตฟอร์ดกล่าวว่า เขาจะไม่กลับมาซ้อมเพราะกลัวจะกระทบต่อสุขภาพของครอบครัวของเขา[44] อึงโกโล ก็องเตของเชลซีพลาดการซ้อมเพราะกังวลด้านความปลอดภัย[45] เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม สโมสรในพรีเมียร์ลีก ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้สามารถซ้อมโดยมีการสัมผัสตัวได้[46] ไทโรน มิงส์ของแอสตันวิลลา กล่าวว่า เหล่าผู้เล่นไม่เคยได้รับการปรึกษาเกี่ยวกับการเริ่มกลับมาแข่งขันใหม่เลยและเพราะว่ามัน "ขับเคลื่อนด้วยเงิน"[47]
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม สโมสรในพรีเมียร์ลีกตกลงที่จะกลับมาแข่งขันต่อในวันที่ 17 มิถุนายน[48] เริ่มต้นด้วยนัดตกค้างสองเกม ได้แก่ แมนเชสเตอร์ซิตี พบกับ อาร์เซนอล และ แอสตันวิลลา พบกับ เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด[49] แล้วเริ่มการแข่งขันเต็มรูปแบบในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์วันที่ 19–21 มิถุนายน ซึ่งหยุดไปตั้งแต่เดือนมีนาคม ในช่วงแรกการแข่งขันนัดที่เหลือนั้นจะแข่งโดยไม่มีผู้ชมในสนาม และส่วนหนึ่งของการกลับมาแข่งขันต่อ พรีเมียร์ลีกยังได้อนุญาตให้ บีบีซีสปอร์ต ถ่ายทอดสดฟุตบอลจำนวนสี่นัด เป็นครั้งแรกที่ช่องดังกล่าวถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่ก่อตั้งลีกเมื่อปี ค.ศ. 1992 ซึ่ง[50] นอกจากนี้ ช่องฟรีทีวี พิก (มี สกาย เป็นเจ้าของ) จะถ่ายทอดสด 25 นัดที่เหลือ[51] แอมะซอนไพร์ม ยังได้จัดสรรการถ่ายทอดสดฟุตบอลจำนวนสี่นัดซึ่งสามารถชมได้โดยที่ไม่ต้องจ่ายค่าสมาชิก[52]
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน พรีเมียร์ลีกประกาศอนุญาตให้ทีมใส่ชื่อผู้เล่นตัวสำรองได้ถึงเก้าคนต่อนัด จากปกติเจ็ดคน และสามารถเปลี่ยนตัวได้ห้าคนจากเดิมสามคน[53]
ดีลอยต์ บริษัทผู้ให้บริการทางการเงิน ประมาณการว่าสโมสรในพรีเมียร์ลีกจะสูญเสียรายได้จำนวน 1 พันล้านปอนด์ในฤดูกาล 2019–20 และอีก 500 ล้านปอนด์ สำหรับการจ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ถ่ายทอดสดและรายได้จากในวันแข่งขัน[54]
มีการตรวจหาเชื้อไวรัสในวันที่ 11 และ 12 มิถุนายน พบผู้มีผลตรวจเลือดเป็นบวกสองคนโดยไม่เปิดเผยชื่อ โดนคนหนึ่งเป็นผู้เล่นจากนอริชซิตีซึ่งจำเป็นต้องกักตัว ทำให้ไม่สามารถลงแข่งขันได้ พบผู้มีผลตรวจเลือดเป็นบวกจำนวน 16 คน จากการตรวจเลือดทั้งหมด 8,687 เคส[55]
ก่อนการกลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง พรีเมียร์ลีกได้จัดทำแนวทางที่จะต้องปฏิบัติตามในทุกนัด โดยทุกนัดจะต้องแข่งขันโดยไม่มีผู้ชม จำกัดเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องให้อยู่ในสนามได้ไม่เกิน 300 คน ทุกสนามถูกแบ่งออกเป็นสามโซน ได้แก่ โซนสีแดง (ในสนามและเขตเทคนิค), โซนสีเหลือง (อัฒจันทร์) และโซนสีเขียว (ด้านนอกสนาม) โดยมีข้อจำกัดว่าใครได้รับอนุญาตให้เข้าโซนไหนได้บ้าง การตั้งแถวบนสนามของผู้เล่นและทีมงานต้องยืนสลับฟันปลาและไม่มีการจับมือก่อนแข่งขัน มีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบนธงของมุมธง, เสาประตู, ป้ายเปลี่ยนตัวและลูกบอล ก่อนและหลังการแข่งขันทุกครั้ง ผู้เล่นและทีมงานผู้ฝึกสอนระหว่างการเดินทางไปแข่งขัน ต้องรักษาระยะห่างทางสังคม การสัมภาษณ์หลังการแข่งขันต้องทำบนสนามและการแถลงข่าวต้องทำแบบออนไลน์[56]
ทีม
ทีมที่เข้าแข่งขันในฤดูกาลนี้มีทั้งหมด 20 ทีม โดยแบ่งเป็น 17 ทีมมาจากฤดูกาลก่อนหน้านี้และ 3 ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากอีเอฟแอลแชมเปียนชิป ทีมที่เลื่อนชั้น ได้แก่ นอริชซิตี, เชฟฟีลด์ยูไนเต็ดและแอสตันวิลลา นอริชซิตีและแอสตันวิลลา กลับมาแข่งขั้นในพรีเมียร์ลีกอีกครั้งหลังตกชั้นไปสามปี ขณะที่เชฟฟีลด์ยูไนเต็ดกลับมาหลังตกชั้นไปสิบสองปี โดยทั้งสามทีมแทนที่ คาร์ดิฟฟ์ซิตี, ฟูลัม (ทั้งสองทีมตกชั้นหลังแข่งขันในพรีเมียร์ลีกแค่หนึ่งฤดูกาล) และฮัดเดอส์ฟีลด์ทาวน์ (ตกชั้นหลังแข่งขันในพรีเมียร์ลีกแค่สองฤดูกาล) การตกชั้นของคาร์ดิฟฟ์ซิตีทำให้เป็นครั้งแรกตั้งแต่ฤดูกาล 2010–11 ที่ไม่มีทีมจากเวลส์เข้าแข่งขัน
สนามและที่ตั้ง
บุคลากรและชุดแข่งขัน
การเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม
ตารางคะแนน
แม่แบบ:ตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2019–20
ผลการแข่งขัน
สคริปต์ผิดพลาด: ไม่มีมอดูล sports results
สถิติตลอดฤดูกาล
การทำประตู
ผู้ทำประตูสูงสุด
อันดับ | ผู้เล่น | สโมสร | ประตู[126] |
---|---|---|---|
1 | แม่แบบ:Flagicon เจมี วาร์ดี | เลสเตอร์ซิตี | 23 |
2 | แม่แบบ:Flagicon ปีแยร์-แอเมอริก โอบาเมอย็องก์ | อาร์เซนอล | 22 |
แม่แบบ:Flagicon แดนนี อิงส์ | เซาแทมป์ตัน | ||
4 | แม่แบบ:Flagicon ราฮีม สเตอร์ลิง | แมนเชสเตอร์ซิตี | 20 |
5 | แม่แบบ:Flagicon มุฮัมมัด เศาะลาห์ | ลิเวอร์พูล | 19 |
6 | แม่แบบ:Flagicon แฮร์รี เคน | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | 18 |
แม่แบบ:Flagicon ซาดีโย มาเน | ลิเวอร์พูล | ||
8 | แม่แบบ:Flagicon ราอุล ฆิเมเนซ | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 17 |
แม่แบบ:Flagicon อ็องตอนี มาร์ซียาล | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ||
แม่แบบ:Flagicon มาร์คัส แรชฟอร์ด | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด |
แฮท-ทริคส์
ผู้เล่น | ทีม | พบกับทีม | ผล | วันที่ |
---|---|---|---|---|
แม่แบบ:Flagicon แม่แบบ:Sortname | แมนเชสเตอร์ซิตี | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | 5–0 (A)[127] | แม่แบบ:Dts |
แม่แบบ:Flagicon แม่แบบ:Sortname | นอริชซิตี | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 3–1 (H)[128] | แม่แบบ:Dts |
แม่แบบ:Flagicon แม่แบบ:Sortname | เชลซี | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | 5–2 (A)[129] | แม่แบบ:Dts |
แม่แบบ:Flagicon แม่แบบ:Sortname | แมนเชสเตอร์ซิตี | วอตฟอร์ด | 8–0 (H)[130] | แม่แบบ:Dts |
แม่แบบ:Flagicon แม่แบบ:Sortname | เลสเตอร์ซิตี | เซาแทมป์ตัน | 9–0 (A)[131] | แม่แบบ:Dts |
แม่แบบ:Flagicon แม่แบบ:Sortname | ||||
แม่แบบ:Flagicon แม่แบบ:Sortname | เชลซี | เบิร์นลีย์ | 4–2 (A)[132] | แม่แบบ:Dts |
แม่แบบ:Flagicon เซร์ฆิโอ อาเกวโร | แมนเชสเตอร์ซิตี | แอสตันวิลลา | 6–1 (A)[133] | 12 มกราคม 2020 |
แม่แบบ:Flagicon อ็องตอนี มาร์ซียาล | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด | 3–0 (H)[134] | 24 มิถุนายน 2020 |
แม่แบบ:Flagicon มีชาอิล อันโตนีโอ4 | เวสต์แฮมยูไนเต็ด | นอริชซิตี | 4–0 (A)[135] | 11 กรกฎาคม 2020 |
แม่แบบ:Flagicon ราฮีม สเตอร์ลิง | แมนเชสเตอร์ซิตี | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน | 5–0 (A)[136] | 11 กรกฎาคม 2020 |
- หมายเหตุ
4 ผู้เล่นที่ทำ 4 ประตู; (H) – เหย้า ; (A) – เยือน
อันดับการผ่านบอล
อันดับ | ผู้เล่น | สโมสร | การผ่านบอล[137] |
---|---|---|---|
1 | แม่แบบ:Flagicon เกฟิน เดอ เบรยเนอ | แมนเชสเตอร์ซิตี | 20 |
2 | แม่แบบ:Flagicon เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ | ลิเวอร์พูล | 13 |
3 | แม่แบบ:Flagicon แอนดรูว์ รอเบิร์ตสัน | ลิเวอร์พูล | 12 |
4 | แม่แบบ:Flagicon มุฮัมมัด เศาะลาห์ | ลิเวอร์พูล | 10 |
แม่แบบ:Flagicon ดาบิด ซิลบา | แมนเชสเตอร์ซิตี | ||
แม่แบบ:Flagicon ซน ฮึง-มิน | ทอตนัมฮอตสเปอร์ | ||
7 | แม่แบบ:Flagicon ริยาฎ มะห์รัซ | แมนเชสเตอร์ซิตี | 9 |
แม่แบบ:Flagicon อาดามา ตราโอเร | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | ||
9 | แม่แบบ:Flagicon ฮาร์วีย์ บาร์นส์ | เลสเตอร์ซิตี | 8 |
แม่แบบ:Flagicon โรแบร์ตู ฟีร์มีนู | ลิเวอร์พูล |
คลีนชีตส์
อันดับ | ผู้เล่น | สโมสร | จำนวนคลีนชีตส์[138] |
---|---|---|---|
1 | แม่แบบ:Flagicon แอแดร์ซง | แมนเชสเตอร์ซิตี | 16 |
2 | แม่แบบ:Flagicon นิก โพป | เบิร์นลีย์ | 15 |
3 | แม่แบบ:Flagicon อาลีซง | ลิเวอร์พูล | 13 |
แม่แบบ:Flagicon ดาบิด เด เฆอา | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | ||
แม่แบบ:Flagicon ดีน เฮนเดอร์สัน | เชฟฟีลด์ยูไนเต็ด | ||
แม่แบบ:Flagicon รุย ปาตรีซียู | วุลเวอร์แฮมป์ตันวอนเดอเรอส์ | ||
แม่แบบ:Flagicon แคสเปอร์ สไมเกิล | เลสเตอร์ซิตี | ||
8 | แม่แบบ:Flagicon มาร์ติน ดูบรัฟกา | นิวคาสเซิลยูไนเต็ด | 11 |
9 | แม่แบบ:Flagicon บิเซนเต กวยตา | คริสตัลพาเลซ | 10 |
10 | แม่แบบ:Flagicon เบน ฟอสเตอร์ | วอตฟอร์ด | 9 |
แม่แบบ:Flagicon จอร์แดน พิกฟอร์ด | เอฟเวอร์ตัน | ||
แม่แบบ:Flagicon แมทิว ไรอัน | ไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน |
การคาดโทษ
ผู้เล่น
- ใบเหลืองมากที่สุด: 12[139]
- แม่แบบ:Flagicon ลูคา มิลิวอเยวิช (คริสตัลพาเลซ)
- ใบแดงมากที่สุด: 2[140]
- แม่แบบ:Flagicon เฟร์นังจิญญู (แมนเชสเตอร์ซิตี)
- แม่แบบ:Flagicon คริสเตียน กาบาเซเล (วอตฟอร์ด)
- แม่แบบ:Flagicon ดาวิด ลูอีซ (อาร์เซนอล)
สโมสร
รางวัล
รางวัลประจำเดือน
รางวัลส่วนบุคคล
รางวัล | ผู้ชนะเลิศ | สโมสร |
---|---|---|
นักฟุตบอลแห่งปีของสมาคมผู้สื่อข่าวฟุตบอล | แม่แบบ:Flagicon จอร์แดน เฮนเดอร์สัน[167] | ลิเวอร์พูล |
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
แม่แบบ:ทีมพรีเมียร์ลีก แม่แบบ:ฟุตบอลในประเทศอังกฤษฤดูกาล 2019–20 แม่แบบ:ฟุตบอลยุโรปในฤดูกาล 2019–20 (ยูฟ่า)
- ↑ Cite error: Invalid
<ref>
tag; no text was provided for refs named05Apr
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Citeweb
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Citeweb
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite tweet
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ https://www.avfc.co.uk/News/2019/06/13/new-official-sleeve-partner-announced
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ 65.0 65.1 แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ 113.0 113.1 แม่แบบ:Cite web
- ↑ ด่วน! สเปอร์สปลด ‘โปเช็ตติโน่’ พ้นกุนซือแล้วหลังทำรองแชมป์ยุโรปร่วงที่ 14 พรีเมียร์!
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite news
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
- ↑ แม่แบบ:Cite web
Enable comment auto-refresher